งานประเพณี
งานนมัสการพระธาตุพนม
กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 12 ค่ำ ถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปี ซึ่งถือเป็นงานประเพณีที่ยิ่งใหญ่และสำคัญยิ่งงานหนึ่งของชาวนครพนม และจังหวัดใกล้เคียง
ตำนานเรื่องเล่าพระธาตุพนม เป็นปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์ของภาคอีสาน ประดิษฐานบนเนินที่เรียกว่าภูกำพร้า ปัจจุบันเป็นบริเวณวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อยู่ห่างจากตัวเมืองนครพนมราว 52 กิโลเมตร พระธาตุพนมสร้างขึ้นแต่สมัยอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์ ประมาณ พ.ศ. 8 โดยเจ้าเมือง 5 องค์คือ พระยาสุวรรณภิงคารนะ พระยาคำแดง พระยาอินทปัตถะนคร พระยาจุลนีพรหมทัต และพระยานันทเสน เพื่อบรรจุพระอุงรังคธาตุ (กระดูกส่วนหน้าอก) ของพระพุทธเจ้า ลักษณะพระเจดีย์เป็นเจดีย์ทรงบัวเหลี่ยม หรือทรงแจกัน ก่อด้วยอิฐมีลวดลายจำหลักลงไปในแผ่นอิฐ มีซุ้มคั่นด้านละซุ้ม ซ้อมกัน 3 ชั้น ลดหลั่นกันลงมาอย่างวิจิตร พระธาตุพนมได้รับการบูรณะเรื่อยมาตามกาลเวลา และในวันที่ 11 สิงหาคม 2518 องค์พระธาตุพนมได้หักโค่นลง ประชาชนชาวไทยทั่วทั้งประเทศได้ร่วมกันสละทุนทรัพย์ก่อสร้างขึ้นใหม่ และมีพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุขึ้นบรรจุอีกครั้งในวันที่ 23 มีนาคม 2522 นอกจากนั้นยังมีทรัพย์สมบัติอีกหลายหมื่นชิ้นที่ชาวไทยถวายบรรจุไว้เป็นพุทธบูชา เฉพาะยอดฉัตรทองคำมีน้ำหนักถึง 110 กิโลกรัม องค์พระธาตุพนมนอกจากจะเป็นศูนย์รวมจิตใจของชนชาวพุทธแล้ว รูปแบบการก่อสร้างขององค์พระธาตุพนมยังเป็นต้นแบบให้กับการก่อสร้างพุทธเจดีย์ในภาคอีสานและในลาวอีกมากมายหลายแห่งประเพณีนมัสการพระธาตุพนม เป็นประเพณีประจำปีสมโภชองค์พระธาตุพนมปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์ของประชาชนไทยลาวสองฟากฝั่งโขงในวันงานประเพณีประชาชนจากทุกสารทิศทั่วอีสานของไทย และชาวลาวฟากตรงข้ามต่างเดินทางกันมาร่วมพิธีกรรมมากมายมืดฟ้ามัวดิน การมหรสพสมโภชคึกคักสนุกสนานจัดเป็นงานบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภาคอีสานงานหนึ่ง
วันเวลาจัดพิธีกรรมวันขึ้น 12 ค่ำ ถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปี
รูปแบบประเพณีในวันขึ้น 12 ค่ำ ต่อวันแรม 1 ค่ำ พุทธศาสนิกชนจะแต่งกายชุดขาวไปกราบไหว้นมัสการองค์พระธาตุพนม และถือศีลปฏิบัติธรรมที่วัดตลอด 5 วัน ในวันขึ้น 15 ค่ำ ซึ่งเป็นวันวิสาขะ ชาวบ้านจะเวียนเทียนรอบองค์พระกันอย่างคับคั่ง และในวันรุ่งขึ้นแรม 1 ค่ำ จะมีการรำบูชาองค์พระธาตุพนมจากชุมชนต่าง ๆ ในจังหวัดนครพนมถ้วนหน้า
จุดเด่นของพิธีกรรมคือการรำบวงสรวงองค์พระธาตุพนม โดยกลุ่มชาวพื้นเมืองหลากหลายของจังหวัดนครพนม โดยเฉพาะชาวผู้ไทเรณูนครที่มีกระบวนฟ้อนเรณูที่สวยงามอย่างยิ่งที่จะมาอวดลีลาการร่ายรำอันยอดเยี่ยมชนิดหาชมที่ใดอีกไม่ได้ นอกจากนั้นกลุ่มชาวไทยย้อ จากอำเภอท่าอุเทน ชาวบ้านธาตุและชาวอำเภอเมืองก็จะจัดกระบวนรำมาประกวดประชันกันเป็นพิเศษ
รายการท่องเที่ยวที่น่าสนใจรายการท่องเที่ยวสำหรับเทศกาลบูชาองค์พระธาตุพนม ควรเป็นรายการท่องเที่ยวที่ผนวกการท่องเที่ยวฝั่งตรงข้ามเมืองท่าแขก พระธาตุศรีโคตรบูรณ์ในฝั่งลาวไว้ด้วยกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้วันแรก เดินทางกลางคืน กรุงเทพฯ-นครพนม เข้าที่พักกลางดึก ช่วงเช้าตื่นแต่เช้าชมหาดทรายทองศรีโคตรบูรณ์ ช่วงสายข้ามฝั่งไปเที่ยวเมืองท่าแขกและพระธาตุศรีโคตรบูรณ์ ฝั่งลาว ช่วงบ่ายข้ามฝั่งกลับเข้านครพนม ไปเที่ยวชมพระธาตุท่าอุเทน การทำแคนที่บ้านท่าเรือ และแวะชมแม่น้ำสองสีที่ชัยบุรี ช่วงค่ำร่วมงานพาแลงที่หมู่บ้านวัฒนธรรมเรณูนครวันที่สอง ช่วงเช้าไปร่วมชมการรำบวงสรวงองค์พระธาตุพนมและนมัสการองค์พระธาตุพนม ช่วงบ่ายกลับมาท่องเที่ยวในเมือง ชมวัดโอกาศศรีบัวบาน วัดพระบาทสี่รอย ปิดท้ายด้วยการช้อปปิ้งที่ตลาดอินโดจีน เดินทางกลับกรุงเทพฯ ช่วงเย็น
สินค้าที่ระลึกผ้าฝ้ายและไหมพื้นเมืองเรณูนคร เครื่องดนตรีพื้นเมืองอีสาน
โรงแรมที่พักรหัสทางไกล 042แม่น้ำโขงแกรนด์วิว ริมฝั่งโขง โทรศัพท์ 0-4251-3564-70นครพนมริเวอร์วิว ริมฝั่งโขง โทรศัพท์ 0-4252-2333-40ศรีเทพ ในเมือง โทรศัพท์ 0-4251-1439, 0-4251-2395
วันเวลาจัดพิธีกรรมวันขึ้น 12 ค่ำ ถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปี
รูปแบบประเพณีในวันขึ้น 12 ค่ำ ต่อวันแรม 1 ค่ำ พุทธศาสนิกชนจะแต่งกายชุดขาวไปกราบไหว้นมัสการองค์พระธาตุพนม และถือศีลปฏิบัติธรรมที่วัดตลอด 5 วัน ในวันขึ้น 15 ค่ำ ซึ่งเป็นวันวิสาขะ ชาวบ้านจะเวียนเทียนรอบองค์พระกันอย่างคับคั่ง และในวันรุ่งขึ้นแรม 1 ค่ำ จะมีการรำบูชาองค์พระธาตุพนมจากชุมชนต่าง ๆ ในจังหวัดนครพนมถ้วนหน้า
จุดเด่นของพิธีกรรมคือการรำบวงสรวงองค์พระธาตุพนม โดยกลุ่มชาวพื้นเมืองหลากหลายของจังหวัดนครพนม โดยเฉพาะชาวผู้ไทเรณูนครที่มีกระบวนฟ้อนเรณูที่สวยงามอย่างยิ่งที่จะมาอวดลีลาการร่ายรำอันยอดเยี่ยมชนิดหาชมที่ใดอีกไม่ได้ นอกจากนั้นกลุ่มชาวไทยย้อ จากอำเภอท่าอุเทน ชาวบ้านธาตุและชาวอำเภอเมืองก็จะจัดกระบวนรำมาประกวดประชันกันเป็นพิเศษ
รายการท่องเที่ยวที่น่าสนใจรายการท่องเที่ยวสำหรับเทศกาลบูชาองค์พระธาตุพนม ควรเป็นรายการท่องเที่ยวที่ผนวกการท่องเที่ยวฝั่งตรงข้ามเมืองท่าแขก พระธาตุศรีโคตรบูรณ์ในฝั่งลาวไว้ด้วยกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้วันแรก เดินทางกลางคืน กรุงเทพฯ-นครพนม เข้าที่พักกลางดึก ช่วงเช้าตื่นแต่เช้าชมหาดทรายทองศรีโคตรบูรณ์ ช่วงสายข้ามฝั่งไปเที่ยวเมืองท่าแขกและพระธาตุศรีโคตรบูรณ์ ฝั่งลาว ช่วงบ่ายข้ามฝั่งกลับเข้านครพนม ไปเที่ยวชมพระธาตุท่าอุเทน การทำแคนที่บ้านท่าเรือ และแวะชมแม่น้ำสองสีที่ชัยบุรี ช่วงค่ำร่วมงานพาแลงที่หมู่บ้านวัฒนธรรมเรณูนครวันที่สอง ช่วงเช้าไปร่วมชมการรำบวงสรวงองค์พระธาตุพนมและนมัสการองค์พระธาตุพนม ช่วงบ่ายกลับมาท่องเที่ยวในเมือง ชมวัดโอกาศศรีบัวบาน วัดพระบาทสี่รอย ปิดท้ายด้วยการช้อปปิ้งที่ตลาดอินโดจีน เดินทางกลับกรุงเทพฯ ช่วงเย็น
สินค้าที่ระลึกผ้าฝ้ายและไหมพื้นเมืองเรณูนคร เครื่องดนตรีพื้นเมืองอีสาน
โรงแรมที่พักรหัสทางไกล 042แม่น้ำโขงแกรนด์วิว ริมฝั่งโขง โทรศัพท์ 0-4251-3564-70นครพนมริเวอร์วิว ริมฝั่งโขง โทรศัพท์ 0-4252-2333-40ศรีเทพ ในเมือง โทรศัพท์ 0-4251-1439, 0-4251-2395
งานประเพณีไหลเรือไฟ
ประวัติความเป็นมา
งานประเพณีไหลเรือไฟ หรือ งานประเพณีไหลเฮือไฟ (ในภาษาท้องถิ่น-อีสาน) เป็นประเพณีที่จัดขึ้นทั่วไปในหลาย จังหวัดในภาคอีสาน โดยเฉพาะจังหวัดที่ตั้งอยู่ติดลำน้ำ เช่น แม่น้ำมูล – ชี แม่น้ำโขง เป็นต้น การไหลเรือไฟ ในภาคอีสานนั้นเริ่มต้นครั้งแรกเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐานยืนยันแน่ชัดสันนิษฐานว่าคงมีมาก่อนที่พุทธศาสนา จะเผยแพร่มาสู่ประเทศไทย เพราะสมัยก่อนกษัตริย์ไทยยังยึดถือพิธีพราหมณ์อยู่ โดยได้รับอิทธิพลมาจาก อินเดีย สมัยที่นำอารยธรรมเข้ามาเผยแพร่ในแถบสุวรรณภูมิ ดังพบว่าประเพณีงานบุญโดดเด่นที่จัดขึ้น ในภาคอีสานมักเกี่ยวโยงหรือผูกพันกับเรื่องของไฟเกือบทั้งสิ้น เช่น งานแห่เทียนเข้าพรรษา บุญบั้งไฟ พิธีไหลเรือไฟ เพราะมีความเชื่อว่า “ไฟ”เป็นเทพเจ้าองค์หนึ่งในศาสนาพราหมณ์ เรียกว่า เทพอัคคี มีฐานะรอง จากพระอินทร์ สามารถเผาผลาญสิ่งชั่วร้ายและขจัดความทุกข์ยากให้ดับสลายไปได้
จังหวัดต่าง ๆ ที่มีการจัดประเพณีไหลเรือไฟ เช่น จังหวัดศรีษะเกษ จังหวัดเลย จังหวัด นครพนม จังหวัดหนองคาย จังหวัดอุบลราชธานี ฯลฯ โดยงานประเพณีไหลเรือไฟของจังหวัดนครพนม จัดว่าเป็นงานไหลเรือไฟที่ยิ่งใหญ่ระดับประเทศมักจัดขึ้นคล้ายคลึงกัน แต่ก็แตกต่างกันในด้านคติ ความเชื่อ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
จังหวัดนครพนมและหนองคาย (มีทำเลที่ตั้งติดแม่น้ำโขงเหมือนกัน) มีความเชื่อว่า เป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ประทับไว้ ที่ริมฝั่งน้ำนัมทานที ซึ่งตามพุทธประวัติกล่าวว่า ครั้งที่พญานาคได้ทูลอาราธนาพระพุทธองค์ไปแสดงธรรม ในพิภพของนาคใต้เมืองบาดาล เมื่อพระองค์เสด็จกลับทางฝ่ายพญานาคได้ทูลขอให้พระองค์ประทับรอย พระบาทไว้ ณ ริมฝั่งน้ำนัมทานที พระองค์จึงได้ประทับรอยพระบาทไว้ ณ หาดทรายริมน้ำตามประสงค์ของ พญานาค ซึ่งรอยพระบาทที่ประทับไว้นี้ ไม่เพียงแต่เป็นที่เคารพสักการะของเหล่าพญานาคเท่านั้น ยังเป็นที่เคารพของเหล่าเทวดาและมนุษย์ด้วย จนแสดงออกด้วยการไหลเรือไฟบูชารอยพระพุทธบาทของพระองค์
ความเป็นมาของการจัดประเพณีไหลเรือไฟของจังหวัดนครพนม เสฐียรโกเศศ ได้เขียนไว้ ในหนังสือวัฒนธรรมและประเพณีอ้างตามคำบอกเล่าของพระเถระรูปหนึ่งว่า การลอยกระทงที่จังหวัด หนองคาย เมื่อกลางเดือน ๑๑ ชาวคุ้มวัดต่าง ๆ จะร่วมกันสร้างเรือนบนต้นกล้วย เอาไม้เสียบเรียงขนานกัน เป็นทุ่นใช้ผ้าชุบน้ำมันยางมัดติดปลายไม้ หรือใช้ไต้เรียงเป็นระยะ ๆ แล้วช่วยกันเอาเชือกลากออกไปกลาง กระแสน้ำ จุดไฟปล่อยไปในเวลากลางคืน เรียกว่า “ไหลเรือ” และเมื่อลอยไปแล้วมักจะถูกคนที่อยู่ใต้กระแส น้ำเก็บเอาไต้ที่จุดไปเสียทำให้กระทงที่ดูสว่างไสวสวยงามนั้นลอยอยู่ในน้ำไม่ได้นานหลายครั้งหลายหน เข้าผู้ร่วมมือร่วมแรงกันประดิษฐ์กระทงเรือก็หมดกำลังใจ ทำให้การไหลเฮือไฟซบเซาไป และมาหยุดชะงัก เมื่อปี ๒๕๑๘ เมื่อประเทศลาวมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง อันเป็นผลกระทบทางด้านการเมือง ต่อมาทางจังหวัดนครพนมได้ฟื้นฟูประเพณีนี้ขึ้นมา เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๖ โดยเทศบาลเมือง นครพนม ได้ประกาศชักชวนส่วนราชการพ่อค้า สมาคม และชาวคุ้มวัดต่าง ๆ ประดิษฐ์เรือไฟด้วยต้นกล้วย ไม้ไผ่ หรือวัสดุอย่างหนึ่งอย่างใดที่สามารถลอยน้ำได้ ให้มีรูปร่างลักษณะเหมือนเรือมีความยาวไม่น้อยกว่า ๖ เมตร และประดิษฐ์เป็นรูปหงส์ นาค ครุฑ หรือรูปอย่างใดก็ได้ที่คิดว่าสวยงามส่งเข้าประกวดชิงรางวัลเงินสด และปรากฏว่ามีผู้สนใจส่งเรือไฟเข้าประกวดถึง ๕๒ ลำ ในงานประกวดนั้นเฮือไฟที่งดงามจากฝีมืออันประณีตประดับด้วยโคมไฟที่สวยสะดุดตาเรียงรายอยู่กลางลำน้ำโขง เป็นภาพที่ประทับใจของชาวนครพนมและผู้ที่ ไปเที่ยวชมอย่างยิ่ง
การแข่งเรือ (ช่วงเฮือ)
เป็นประเพณีที่ปฎิบัติสืบทอดกันมาช้านาน โดยจัดขึ้นระหว่างงานบุญออกพรรษา มีความมุ่งหมายให้ชาวบ้านได้สนุกสนานร่วมกัน ก่อให้เกิดความสามัคคี ความเสียสละ จัดขึ้นที่ลำน้ำโขง มีระยะทางแข่งขัน 3 กิโลเมตร ซึ่งบริเวณดังกล่าวเป็นร่องน้ำลึกไหลเชี่ยว ยากลำบากในการบังคับเรือ ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าผู้ชนะเป็นผู้ที่เก่งที่สุดในแถบแม่น้ำโขง
ทั้งสองงานประเพณีได้ประมวลเอาขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม ตลอดจนการละเล่นพื้นเมืองที่สวยงาม มีการประกวดความสวยงามของขบวนแห่ของคุ้มวัดและหน่วยงานต่าง ๆ ด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น